ไม้กฤษณาชนิดที่ดีที่สุดในโลกนั้น พบหลักฐานในสมัยอยุธยา ในจดหมายของบริษัทอินเดียตะวันออก พ.ศ. 2222 ระบุว่าคือไม้หอมกฤษณาจากบ้านนา (Agillah Bannah) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนครนายก ชนิดนี้พบมากแถวบริเวณกัมพูชา แต่ในปัจจุบันไม้กฤษณาคุณภาพดีที่สุดได้จากเขาใหญ่ ซึ่งเคยมีมากแถบดงพญาไฟ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไม้หอมเพื่อการส่งออกมาแต่อดีต การหาไม้กฤษณาจะมาจากบ้าน บุเกษียร ลำคลองกระตุก บุตาชุ ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นทุ่งหญ้า อยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ในทางศาสนาพุทธ มีประวัติกล่าวไว้ว่า เมื่อพุทธเจ้าประสูติ พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือดอกบัว เช่น เดียวกับพระกฤษณะ และพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งถือไม้กฤษณา คำว่า "กฤษณะ" หมายถึงผู้ที่มีผิวดำ ส่วน "กฤษณา" จะหมายถึง เนื้อไม้ส่วนที่มีสีดำสะสมเป็นสารกฤษณา
จากตำนานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย ในทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู พอที่จะกล่าวไว้ว่า กฤษณาเกี่ยวข้องกับคำว่า กฤษณะ หรือมาจากคำว่า "กฤษณะ" เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ซึ่งเป็น เทพผู้รักษา ดังนั้นในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู และ ศาสนาพุทธ รวมทั้งในศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ จึงให้ความเคารพไม้กฤษณาว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้องปกป้องรักษาไว้ และมีการใช้ ไม้กฤษณาในพระราชพิธีต่าง ๆ
การปลูกไม้กฤษณาจึงถือเป็นสิริมงคลของชีวิตเสมือนการจุดธูปหลายล้านดอก และสมควรที่จะใช้ประโยชน์จากไม้กฤษณาปลูกเท่านั้น เพราะปัจจุบันไม้กฤษณาปลูกสามารถกระตุ้นให้หลั่งสารกฤษณาได้ เร็วกว่าที่เกิดในธรรมชาติถึง 10 เท่า และมีศักยภาพสูงมากพอในเชิงเศรษฐกิจ
ไม้กฤษณา เป็นตำนานที่กล่าวขวัญกันมาช้านาน ทั้งในฐานะ "ของที่มีค่าหายาก" เป็นที่ต้องการของสังคมชั้นสูงทั่วโลกและ "ราคาแพงดั่งทองคำ" ควบคู่กับประวัติของพระพุทธเจ้า น่าเสียดายที่ "ไม้กฤษณา" เป็นสินค้าต้องห้ามสำหรับประชาชนทั่วไปเพราะมีกฎหมายให้ค้าขายได ้เฉพาะกษัตริย์มาตั้งแต่โบราณ ตั้งแต่ต้นกรุงศรีอยุธยา อันที่จริงเราส่งไม้กฤษณาทั้งที่เป็นเครื่องราชบรรณาการและเป็นสินค้าไปเมืองจีนมาตั้งแต่กรุงสุโขทัย และเป็นที่ต้องการของราชสำนักจีนมาก นอกจากจีนและญี่ปุ่นแล้ว เรือสำเภาที่มาค้าขายจากฝั่งตะวันตกก็ยังได้นำเอาสรรพคุณของกฤษณาทั้งด้านความหอมและสรรพคุณสมุนไพร ขจรไกลไปถึงคาบสมุทรอาหรับในตะวันออกกลางและยังไปถึงอาณาจักรกรีก โรมัน อียิปต์โบราณ ไม้กฤษณาที่เป็นสินค้าซื้อขายกันแพงๆ เป็นผลิตผลจากต้นกฤษณาซึ่งมีเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ไม้กฤษณาจึงเป็นสัญลักษณ์ของตะวันออกและสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าขายมาช้านาน
|